โมรอคโค ดินแดนอาหรับราตรี แห่งคาบสมุทรไอบีเรีย

            เมืองมรดกโลก
      เมืองสีส้มMarrakesh ท่องดินแดนแห่งคาบสมุทรไอบีเรีย เที่ยวโมรอคโค สเปน และโปรตุเกส...

เรื่องราวของ นักเดินทาง 9 ชีวิต ผู้เสาะแสวงหาช่วงเวลาอิสระจากภาระกิจการงาน โลดแล่น ท่องไปในโลกกว้าง ตัดพันธนาการใดๆ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน..ที่เร่งรีบ  เราจัดเวลากับการเดินทางครั้งนี้ 24 วัน กับสถานที่ซึ่งอยู่กันคนละฝั่งของโลก ตะวันออก-ตะวันตก โดยสายการบินกาตาร์แอร์เวย์ แวะเปลี่ยนเครื่องที่กรุงโดฮา (Doha ) เมื่อปี พ.ศ.2554 นั้น จากสนามบินมาลงDoha เครื่องบินมาแวะตูนีเซีย มีผู้โดยสารทั้งลงและขึ้น เรารออยู่บนเครื่องไม่ต้องลง ปลายทางสุดท้ายมาลงที่ท่าอากาศยาน โมฮัมเมด5 คาซาบลังกาเช้า ของวันที่ 6 ตุลาคม 2554 เวลา 8.30 น.ของโมรอคโค 

ฤดูนี้ วันนี้เราได้กำไรเวลา 5 ชั่วโมง (และจะปรับช้าลงอีก 1 ชั่วโมงในอีกไม่กี่วัน เล่นทำเอาเรางงกับการปรับเวลาไปด้วย) นี่สำหรับฉัน นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่บินด้วยสายการบินการ์ต้า จากค่าตัวสองหมื่นกว่า เที่ยวนี้ เกือบสี่หมื่น ให้บริกาด้วยลูกเรือนานาชาติ จัดว่าบริการดีทีเดียว การผจญภัยเริ่มต้นแล้ว อ่านหนังสือ ศึกษาจากอินเตร์เนต ถามกระทู้ไปในtripadvisor ,trekingThai อุ่นใจว่ามีคนเคยมาแบคแบคมาที่นี่ แล้วคิดว่าไม่น่ามีปัญหาสำหรับเรา เขาเที่ยวเองได้ เราก็ต้องได้
สำหรับฉัน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาประเทศในทวีปแอฟริกา ดินแดนอาหรับราตรี ที่ฉันได้เคยชมภาพยนต์การท่องเที่ยวในโทรทัศน์ ภาพ ตลาดร้านค้า ซอกซอยเป็นเครื่องหนังสีสันสะดุดตา เครื่องทองสัมฤทธิ์แวววาว พรม ผ้าม่าน และผู้คนแต่งตัวแบบชุดมุสลิม ผู้หญิงสวมเสือแขนยาว ชุดยาว คลุมผม ..ภาพทะเลทราย สิ่งก่อสร้างศิลปะของมุสลิม ในทีวี ยังติดตา วันนี้เราได้มาถึงดินแดนแห่งนี้แล้ว 

 โมรอคโค Morocco ฉันเดินทางด้วยรถไฟในยุโรปมานักต่อนักแล้ว ร่วม 10 ปี อยากทดลองใช้บริการรถไฟของโมรอคโคบ้าง ก่อนมาหาข้อมูลมาอย่างดี ทั้งเวปของการรถไฟโมรอคโค www. oncf .ma อ่านรีวิวนักท่องเที่ยวอิสระแบบฉัน ก็พอได้ข้อมูลมาว่า น้อง ๆ ยุโรป ก็พอได้ ในทริปเราเลยจัดให้ใช้บริการรถไฟ 2 วันด้วยกัน คือจากคาซาบลังกา มา มาราเกซ วันที่ 2 จากมาราเกซ มาลงที่ เมคเนส ให้พอได้สัมผัสถึงการเดินทางด้วยรถไฟ วันที่ 1 วันพฤหัสที่ 6 ตุลาคม 2554    เครื่องบินการต้าแอร์เวย์แลนดิ้ง สัมผัสรันเวย์ อย่างนุ่มนวล นึกชมกัปตันในใจ ทำได้ดีจัง สมูธแอสซิลค์..อ้อ! ลืมไปไม่ใช่สโลแกนนี้ ตัวฉันเองถอนหายใจโล่งอกเบาๆ นั่งเครื่องบินมานับไม่ถ้วน ก็ยังมีลุ้นตอนขึ้นและลง ทุกครั้ง รับกระเป๋ากันเรียบร้อย สิ่งแลกที่ทำคือ การแลกเงินสดของกองกลางไว้ใช้ เราต้องใช้ให้พอดี จึงทยอยแลก โดยฉันจะเป็นคนแลกไว้คนเดียว ปี2554 1eur = 11.11 mad 1 mad = 3.73 บาท เงินสกุล MAD(Morocan Dirham)(1eur ประมาณ41-42 บาท) เราแลกไว้สำหรับค่าตั๋วรถไฟ + เงินสดสำรอง เราแลกที่สนามบิน อัตราราคาแลกเปลี่ยนค่อนข้างแพงหน่อย แต่จำเป็นก็จำต้องยอม เพราะไม่งั้นก็ซื้ออะไรทานไม่ได้ เรา ซื้อตั๋วที่ห้องจำหน่ายชานชาลา ปรากฏว่าที่นี่ก็ให้บริการแลกเงิน ราคาดีกว่าที่สนามบิน เราซื้อตั๋วUrban trainหรือแอร์พอรทลิงค์บ้านเรา สาย Mohammad V International airport to Casablanca center โดยไปต่อรถไฟที่สถานีcasavoyage ใช้เวลา 40 นาที แล้วต่อขบวนอีกขบวนเพื่อเดินทางไปมาราเกช รถไฟแอร์พอร์ทลิงค์(ฉันขอเรียกตามบ้านเราแบบนี้แล้วกันนะ)นี้เที่ยวแรก 5.00 ถึง 10.00pm 36 เที่ยวต่อวัน ค่าโดยสาร ชั้น 1 ราคาMAD 60 ขั้นสอง MAD40 เป็นเงินบาทก็ชั้นหนึ่ง 224 บาท/ชั้นสอง150 บาท เราซื้อตั๋วไปมาราเกซที่นี่เลย ฉันพอศึกษาข้อมูลมาว่าเพื่อความสะดวกเรื่องห้องน้ำห้องท่าบนรถไฟ ควรไปชั้นหนึ่ง ราคาก็ต่างกันไม่มาก ตั๋วชั้นหนึ่งไปมาราเกซราคา 140 MAD ประมาณ 522 บาท ถ้าชั้นสอง 90 MAD ประมาณ 336 บาท กับการเดินทางที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แนะนำว่าไปชั้นหนึ่งคุ้มกว่าด้วยอายุอานามของสมาชิกกลุ่มเราก็ไม่น้อย ยังต้องลุยกัน 20กว่าวัน เราไปมาราเกซ แต่เราสามารถซื้อตั๋วได้จากที่นี่เลย ก็สะดวกดี พนักงานขายตั๋วแนะนำ บอกเวลาที่เหมาะสมกับการต่อขบวนรถไฟให้เราเสร็จสรรพ นับว่าบริการดีทีเดียว เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ ยังพอมีเวลา ระหว่างรอรถไฟ ออกจากสนามบิน เราได้ถ่ายรูป โมเสคประดับประดาผนังอาคารตามแบบฉบับศิลปะของโมรอคโค เปลี่ยนขบวนรถไฟ เดินลากกระเป๋าข้ามชานชาลายังคล้ายๆ กับสถานีชุมทางหาดใหญ่ บ้านเรา น่ะ แต่รถไฟ เขาทันสมัยกว่า และตรงเวลา เราเดินทางด้วยรถไฟเที่ยว 12.50 น.ถึงมาราเกซ 16.05 ก็โอเคนะ กับการใช้บริการรถไฟ เราทานอาหารบนรถไฟแบบง่ายๆ ขนมปังเบเกอรี่ รถไฟเข้าตรงเวลามาถึงสถานี มาราเกซ ตื่นตลึงกับความงดงามของสถานีรถไฟแห่งมาราเกซแห่งนี้ เรายังตื่นเต้น ตื่นตากับศิลปะโมเสคฝาผนังของโมรอคโค จึงใช้เวลาที่นี่พักใหญ่ กับการถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ และทานอาหาร จิบกาแฟ ก่อนที่จะขึ้นแท็กซี่ แท็กซี่ที่เมืองนี้จะมี สอง ขนาด เล็ก taxiใหญ่ taxi คันเล็ก รับคนได้ไม่เกิน 3 คน คันใหญ่รับได้ไม่เกิน 4 คน เขารักษากฎมาก ราคาก็แพงเอาเรื่อง แต่เฉลี่ยกันก็โอเค คันใหญ่ 150 บาท 4 คน คันเล็ก 100 3 คน 2 คัน หรือตก 40 MAD จากสถานีไปโรงแรมก็ไม่ไกล ใช้เวลา 10 นาที ได้สัมผัสความเป็นเมืองสีส้มแล้ว ยอมรับถึงความสวยงามแปลกตา สีทาบ้านเมืองนี้ใช้อยู่สีเดียวเป็นแน่ ต้นไม้ต้นปาล์มอินผาลัม ประดับประดาบ้านเมือง สวยงามยิ่งนัก ตื่นตาตื่นใจแป๊บเดียวก็มาถึงโรงแรมที่จองผ่านwww.booking.com ไว้ เราพักที่ Marakesh Ryad Mogado Hotel 3 ดาว 2 คืน โรงแรมอยู่หน้าสถานีขนส่ง จัดว่าใจกลางเมืองสะดวกต่อการเดินชมตลาดและชมเมือง ที่นี่ราคาคืนละ 38 eur รวมvat20% ตกคืนละ1,600 บาท ตามงบคนละ 800 บาท/คน/คืน ตามที่ตั้งงบประมาณไว้ ค่าที่พักเฉลี่ย 1200 ต่อคน/คืน เราเข้าเช็คอิน เอากระเป๋าเข้าห้อง จัดการธุรส่วนตัวเรียบร้อบ ขอแผนที่ท่องเที่ยวจากโรงแรม วันนี้เราต้องบริการตัวเอง ตลุยดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าอาหรับราตรีกันเอง เริ่มต้นที่ตลาดเก่าที่ขายของสด แห้ง เป็นตลาดที่พ่อค้า ที่นี่ไม่มีแม่ค้า มีแต่ผู้ชายขายของจริงๆ นำของมาขาย มีลา ล่อ บรรทุกผลไม้ กล้วย ส้ม ยืนขายของบนถนนในตลาด ผู้คนแต่ตัวด้วยชุมแบบมุสลิมเสื้อแขนยาว ชายเสื้อยาวเหนือเข่า มีผ้าคลุมผม ช่างแปลกตา แต่ก็ดูงดงามแบบย้อนยุค มีอารมณ์เหมือนย้อนไปในดินแดนอาหรับราตรี จริง 

เราเดินชมตลาด และถ่ายรูปอยู่นานเป็นชั่วโมง เดินเรื่อยลงมาทะลุมาถึงบริเวณ Moscue หรือสุเหร่า มัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia Mosque) มัสยิดที่สูงตระหง่าน ตามที่เราเห็นในภาพการท่องเที่ยวมาราเกซ ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวของมาราเกช บ้านเรือนร้านค้าใช้สีส้มอิฐ เหมือนกันทั้งเมือง ช่างมีมนต์สะกดให้นักท่องเที่ยวเคลิบเคลิ้มเดินเพลิดเพลินไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนค่ำ เราเดินกลับก็ไกลเอาเรื่อง ต้องเรียกแท๊กซี่กลับ มีเรื่องที่ประทับใจในความซื่อสัตย์รักษากกฎหมายของแท็กซี่ที่นี่ ที่ยึดระเบียบเรื่องคนนั่งต้องไม่เกิน 3 สำหรับคันเล็ก และไม่เกิน 4 สำหรับคันใหญ่ เราจำต้องยอมรักษากฎให้เขาตาม 
ส่วนที่พักโรงแรมเรา มีส่วนเดินเชื่อมถึงกันเป็นsupermaket ถูกใจคณะเรา แวะซื้อน้ำดื่ม ผลไม้ ขึ้นห้องพัก คืนนี้ เราต้มข้าวต้มทานกับเกี่ยมฉ่าย ไข่เจียว แพคไว้อย่างดี น้องนัทต้มม่ามา เกาหลี ด้วยหม้อไฟฟ้าฉบับนักเดินทางเจ้าประจำของฉัน ยี่ห้อsanyo หุงข้าวต้มน้ำ ทอดไข่ ผัดผัก ตุ๋นไข ผัดข้าว บริการได้หมด ขอแนะนำ ประหยัดที่เก็บ น้ำหนักเบา ขอแนะนำสำหรับผู้ที่ชอบเดินทาง ใช้แล้วจะติดใจ ฉันใช้ใบนี้มาร่วม 10 ปีแล้ว   เราตั้งวงทานข้าวกันมือแรกในโมรอคโค หายเหนื่อย คืนนี้พักผ่อน พรุ่งนี้ คุณอาลี รามนิ ไกด์ จากGULLIVER TRAVEL พร้อมรถโคชแบบ17 ที่นั่งจาก ATLAS VOYAGEจัดมาบริการเรา ทุกคน อ่อนล้า เหนื่อย กับการเดินทาง แต่ก็อิ่มหนำ สำราญใจแล้วก็ขอลากลับห้องส่วนตัวพักพักผ่อน ราตรีสวัสดิ์ ............... 



วันที่สอง วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2554 เที่ยวมาราเกซ Pink city or Al hamra มาราเกซ (Marakesh) เมืองมรดกโลกสีส้ม เมืองใหญ่หน้าด่านแห่งทะเลทรายซาฮารา ขนานนามว่า (Pink City หรือภาษอาหรับ เรียกว่า Al hamra แปลว่าเมืองสีแดง )ทั้งยังได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก มาร์ราเกชเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ 2 ของโมร็อคโค รองจากคาซาบลังกา


เมคเนส อดีตเมืองหลวงแห่งโมรอคโคแห่งนี้ ก่อตั้งมาตั้งแต่ศริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง มีองค์ประกอบสำคัญคือเมืองโบราณ เมดินา เป็นตลาด ร้านค้า ช่างฝีมือ ที่พักคนเดินทาง ระหว่างเดินทางข้ามทะเลทราย ต่อมาการย้ายเมืองหลวงมาเป็นเมืองเมคเนส เมื่อเฟส เข้าสู่ยุคเจริญรุ่งเรืองในคริษต์ศตวรรต 13 ช่วงการปกครองของราชวงศ์มารินิด (Marinid) ก็ได้เป็นเมืองหลวงแทนมาราเกซ แล้วต่อมา ปี ค.ศ.1912 เมืองหลวงก็ย้ายมาเป็นกรุงราบัต Rabat จวบจนปัจจุบัน ทริปของเราจะเป็นการเที่ยวชมเมืองสำคัญอดีตเมืองหลวงของโมรอคโค ได้ทราบประวัติศาสตร์การเดินทางชมสถานที่ต่าง ๆ ก็สนุก สำหรับคนรักการถ่ายรูป ถูกใจแน่นอน เพราะมีมุมให้ถ่าย หลากหลาย ทั้งสิ่งสวยงามของอาคาร ชีวิตคน ตลาด ซอกซอย ของใช้ผ้าแพรพรรณ งานนี้ มาราเกซ เป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของประเทศโมร็อคโค (ซึ่งตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก) 

เราทานอาหารเช้าที่โรงแรม แน่นอนการตกแต่สไตลโมรอคโค สวยงามบ่งบอกความมีเอกลักษณ์ของชาติ รอเวลา 9.00 น.Mr.Alli คุณอาลี เป็นไกด์เอสคอร์ท หนุ่มใหญ่ สูง สมาร์ท และสุภาพเรียบร้อย ภาษาอังกฤษ ฟังง่าย เขาพูดช้าๆ ชัด เราก็เลยสบายหน่อย พอฟังทัน แต่เราก็ยังมีล่ามพิเศษอีกคน ฝ่ายต่างประเทศประจำทริป น้องนัท นางแบบประจำทริป ของเรานั่นเอง เราใช้บริการ กัลลิเวอร์ แลนด์ โมรอคโค ที่บริษัท สวีทแลนด์ ทราเวลเอเจนซี่ ของพี่อ้วน ป่าตอง เพื่อนซี้รูมเมทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจัด มาให้บริการพวกเรา เราจัดให้แบบ ใช้บริการเฉพาะรถโคชกับไกด์ พาชมสถานที่เที่ยว เท่านั้น ไม่รวมค่าที่พัก ค่าอาหาร ซึ่งเราจองที่พักเองแบบที่เราต้องการ พักริยาด ราคาไม่แพง ตามงบประมาณ เนื่องจากทริปเรายาวนานถึง 24 วัน น่ะ คุณอาลี มารอเราแต่เช้า ทักทายกันเรียบร้อย ก็นำคณะเราขี้นรถโค้ช 17 ที่นั่ง มารับเรา 9 คน สถานที่แรกที่ไปคือที่ๆเราเดินมาเมื่อวาน คือ KOUTOUBIA MOSQUE เราได้เห็นMosque ภายใต้บรรยากาศแสงสียามค่ำคืน เช้านี้ก็ได้เห็นบรรยากาศกลางวัน อธิบายความเป็นมา ได้ความว่า "คูโทเบีย" เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุด โดดเด่นที่สุดในมาราเกซ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในเขต Medina Quarter และ 200 เมตร จากจัตุรัสใหญ่ที่มีชื่อเสียงของมาราเกช Jemaa El Fna souq อ่านออกเสียง “เจมา เอลฟานา” กิจกรรมของชาวมาร์ราเกช เจมา เอล ฟานา เป็นเสมือนเวทีการแสดงกลางแจ้งที่มีชีวิตชีวาและสีสันมากที่สุดในโลก เพราะมีการขายของนานาชนิด แผงขายถั่วและผลไม้แห้งนานา, ขายอาหารมากมายหลายร้าน การละเล่นพื้นเมืองของชาวพื้นเมือง รวมทั้งผู้มีดนตรีในหัวใจก็จะมาเปิดแสดงยังจตุรัสแห่งนี้ เป็นที่ทำมาหากินของหมอดู ช่างตัดผม ขัดรองเท้า ตลอดเช้าจรดค่ำ แล้วที่โดดเด่นก็คือ รถเข็นขายน้ำส้มคั้น ที่จอดเรียงรายกันเป็นทิวแถว เราไม่พลาดที่จะชิมน้ำส้มคั้นสด ..อืม! หวานหอมอร่อย ดั่งคำร่ำลือจริง ราคาไม่แพงด้วย. สดชื่น ชื่นใจ ท่ามกลางอากาศค่อนข้างร้อน . ตลอดเช้าจรดค่ำ แล้วที่โดดเด่นก็คือเข็นขายที่จอดเรียงรายกันเป็นทิวแถว ใกล้ ๆ จัตุรัสยังเป็น“ซุค” ตลาดพื้นเมืองซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง เครื่องเหล็กเครื่องประดับ งานหัตถกรรม ฯลฯ มาซื้อของที่นี่ต้องต่อราคานะ ภาษาที่ใช้คืออาหรับ (ซึ่งเป็นภาษาราชการ) กับฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นภาษาที่คนที่นี่พูดกันได้ทั่วไป เพราะโมร็อคโคเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส)ไม่ได้ ก็คงจะลำบาก ภาษาอังกฤษที่นี่ใช้ได้อย่างจำกัด เราอาศัย คุณอาลี เป็นล่าม สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองมาราเกซ Jemaa El Fna souq จัตุรัสยังเป็น“ซุค” ตลาดพื้นเมืองซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง เครื่องเหล็กเครื่องประดับ งานหัตถกรรม ฯลฯ มัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้จากหอวังที่มีความสูง226ฟิต(70เมตร) Enara Garden ซึ่งแต่เดิมสร้างเป็นบ่อเก็บน้ำ และล้อมรอบด้วยต้นมะกอกและสน มีตัวอาคารที่งดงามและเทือกเขาแอตลาสเป็นฉากหลัง เป็นสวนต้นแบบที่ราชวงศ์โมรอคโคนิยมกัน สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้ชื่อว่าเป็นอนุสรณ์สถานของชาวมุสลิมที่สมบูรณ์ที่สุดในแอฟริกาเหนือ สีอิฐตัดสี ท้องฟ้า สวยงาม หามุมถ่ายรูปกันได้พักใหญ่ ก็ เดินทางต่อมายัง สถานที่สวยงามด้วย วิจิตรศิลป์ งานแกะสลักสิ่งก่อสร้าง ก็คือพระราชวังบาเฮีย (Bahea Palace) พระราชวังบาเฮีย (Bahea Palace) สถาปัตยกรรมในเมืองมาร์ราเกช สวยงามประทับใจทุกคนที่ได้มาเยือน เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆอย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีมีการวาดลายบนไม้ และตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามปราณีตละเอียดอ่อนมากๆ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง มีสถานที่ ที่แนะนำ โดยต้องเดินทางออกนอกเมืองเพื่อสัมผัสธรรมชาติที่หุบเขาโอริก้า บนเทือกเขาไฮแอตลัส ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาร์ราเกชไปทางตอนใต้ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร เทือกเขาไฮแอตลัสเป็นแนวเทือกเขาสำคัญที่กั้นเมืองมาร์ราเกชกับทะเลทรายซาฮารา บรรยากาศบนหุบเขาซึ่งมีความสูง๓,๐๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีหิมะปกคลุมที่ยอดเขาตลอดปี เป็นบรรยากาศที่ไม่คิดว่าจะพบได้ในทวีปแอฟริกา เห็นภาพนี้แล้วคิดว่าเป็นยุโรป ถ้าเรามีเวลา10 วัน ในโมรอคโค เราคงเดินทางเที่ยวประเทศนี้ ได้มากกว่านี้ นึกในใจ ก็เสียดาย ยังไม่ได้ขี่อูฐ เที่ยวนอกตัวเมือง และขี่อูฐ เที่ยวทะเลมรายซาฮารา ไปเมืองวอซาเซท เนื่องจากฉันจำเป็นต้องตัดโปรแกรมออกเอง เพราะต้องเลือกว่าจะเที่ยวเน้นสเปน กับโปรตุเกส มากกว่า อีกเหตุผลนึงก็คือสภาพอากาศในเดือนตุลาคม ยังร้อน ถ้าเที่ยวทะเลทราย คงไม่สบายตัวแน่    เรามารู้จักกับธรรมชาติเกี่ยวกับภูมิประเทศแถบนี้หน่อย ดินแดน ภูเขา ที่ราบ ทะเล ทะเลทราย แหล่งอารยธรรม ชนพื้นเมืองเบอร์เบอร์ เป็นเสน่ห์ของประเทศนี้ ที่มีมนต์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ใหลหลง ดินแดนโมรอคโคมีความหลากหลาย มีเทือกเขาไฮแอตลาส อันสูงตระหง่าน....เทือกเขานี้กั้นความชื้นจากทะเลทำ ให้ดินแดนทางตอนใต้ของ เทือกเขาแห้งแล้ง...เป็นทะเลทรายซาฮารา โมรอคโคมีเทือกเขาสูงอยู่ สามช่วง ทางเหนือสุดคือเดอะรีฟ (The Rif) ตอนกลางคือมิดเดิลแอตลาส และถัดลงไปเป็นไฮแอตลาส ทำให้ภูมิประเทศมีความหลากหลายมาก ทั้งชุ่มชื้น ทั้ง แห้งแล้ง เราชมสถานที่กัน 2 แห่ง ล้วนสวยงามด้วยศิลปะแบบโมรอคโค-โมรอคกัน คุณอาลี พาเรานั่งรถโคชชมเมืองออกไปนอกเมือง ชมธรรมชาติ วิถีชีวิตผู้คน ผ่านสถานที่ธรรมชาติ ดงสวนปาล์ม อินทผาลัม ที่ฉันชอบเป็นหนักหนา กับความหอมหวานชื่นใจ เห็นภาพคนเลี้ยงอูฐเมืองสีส้มแห่งนี้ เห็นสองฝั่งข้างถนนประดับประดับประดา ด้วยต้นไม้ ปาล์ม อินทผาลัมที่มีโครงต้นสวยงาม มีผลสีเหลืองทองห้อยระย้า ทำให้ทัศนีย์ภาพของเมือง งดงามแปลกตายิ่งนัก เราถ่ายรูปเอาบรรยากาศ สวยงาม ทั้งนอกเมือง ในเมือง ว่าไปก็เหมือนกับเราขับรถออกนอกตัวเมืองในต่างจังหวัดนั่นแหละ มีโรงแรม สนามกอล์ฟ อย่างหรู 5 ดาว ได้ชมวิวสวนดงต้นปาล์ม อินผาลัม สวยงาม การที่ทั้งเมืองเป็นสีส้ม ก็ทำให้มีบรรยากาศคลาสสิค โบราณ ๆ สวยงามแปลกตาเป็นเอกลักษณ์ ที่หาชมได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก ...มาราเกซ แห่งโมรอคโค ที่ เราประทับใจ

 

พลาดไม่ได้! มาที่นี่ต้องชิม อินผาลัม หอมหวานชื่นใจ แต่อย่าเผลอหยิบชิมเพลินนะ น้ำหนักตัวขึ้นไม่รู้ตัวเชียว ต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่เห็นบ่อยอีกชนิดก็คือต้นมะกอก มีให้เห็นทั่วไปเลยค่ะ แนะนำอีกสถานที่ท่องเที่ยว ถ้ามีเวลาควรแวะชมเมืองโรมันโวลูบิลิส (Volubilis) ชมความงดงามของพื้นโมเสคอายุเกือบ 2000 ปี การเดินทางได้จะครบรสมากยิ่งขึ้น ก่อน อาลีจะส่งเราที่โรงแรม เราขอให้เขาพาไปแลกเงินครั้งที่สอง กรุ๊ปเราใช้วิธี ให้กองกลางแลกจุดเดียว แล้วทุกคนมาขอแลกไปด้วย จะได้บริหารง่าย ไม่ต้องแลกเงินกลับไปเป็นeur ถ้าเงินเหลือ ซึ่งจะขาดทุนมาก อาลีปล่อยเราให้ลงทีสถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วรถไฟไป เมคเนส สำหรับวันพรุ่งนี้ ราคาตั๋วจากมาราเกซ ไปลงเมคเนส เที่ยว 9.00 น. ถึงเมคเนส 15.32 น. ขบวนนี้ ต่อไปถึงเมืองเฟซ เลย เราถึงเฟซ 16.10 น. ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ทริปนี้ เรามาเจอคนไทยที่มาแบคแพคเช่นกันมากัน 3 คน เลย ตั้งวงเม้าท์กระจาย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันสนุกสนาน เราตีตั๋วลงเมคเนสราคา 265/174 mad หรือเป็นเงินไทย ก็เอา3.73 หรือ 4 คุณดู คิดง่ายๆ ประมาณ 1060 บาท สำหรับชั้นหนึ่ง หรือ 700 บาท สำหรับชั้นสอง เรานั่งย้อนกลับไปคาซาบลังกา ไปเมคเนส ระยะทาง ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ซื้อตั๋วเสร็จไปเมคเนสเสร็จ เราก็เดิน เดิน เดิน ชมเมืองกันถึงค่ำ กลับเข้าที่พัก ปาร์ตี้อาหารเย็นทำกันเองอีกมื้อ สำหรับคนงดมื้อเย็นก็ต้องทำใจแข็ง ๆ ให้หนักแน่นหน่อย เพราะบรรยากาศการท่องเที่ยวแบคแพค เราเดินเป็นหลัก อาจมีหิวโหย การได้ทานอาหารไทยทำเอง ในต่างแดนร่วมกันกับเพื่อนร่วมทาง ช่างเป็นบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม สีสันแห่งการเดินทางที่ต้องมีทุกทริปการเดินทางตามเส้นทางฝันของเรา... พรุ่งนี้ อำลาแล้ว มาราเกซ มุ่งหน้า เมคเนส เฟซ ...ราตรีสวัสดิ์

 

วันที่ 3 วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2554 นั่งรถไฟไปเมคเนส แล้วตามด้วยรถโคชไปเมืองเฟซ รถไฟขบวน 9โมงเช้า ถึงเมืองเมคเนส (Meknes) เป็นเมืองหลวงโบราณ เวลา 15.32น. มีเรื่องราวประวัติศาสต์อยู่ว่า ในสมัยสุลต่านมูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมคเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ ก่อนถึง ชมกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ชม ประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสด และกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสดชมสุสานมูเล อิสมาอิล ภายในกำแพงเมือง สถาปัตยกรรมกระเบื้องโมเสกและศิลปะประตูโค้ง ตามสไตล์โมรอคโค ที่นี่ เราประทับใจในความวิจิตรงดงามของประตูวังหลวงแล้ว ยังประทับใจกับการเดินตลาดสดแห้งสมใจ สีสันอาหาร เครื่องเทศ ทำให้ตลาดมีสีสันจริง อีกทึ่ง ติดใจน้ำส้มคั้นสด อร่อยหวานหอมมาก ๆ ทุกคนต้องมาดื่มน้ำส้มเจ้านี้ เราเดินในตลาด ซื้ออินผาลัม เครื่องเทศ สมุนไพร ของที่นี่ เสร็จออกมาด้านนอก ก็เจอจัตุรัส ขายของ มีแขกเป่าปี่ เล่นกับงูเต้นระบำ ช่างเป็นภาพที่ฉันประทับใจ แล้วหวนคิดถึงนิทาน ตอนเด็ก ๆ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมมีแต่พ่อค้า ไม่มีแม้ค้าขายของเลย แล้วที่ลานจัตุรัส ทำไม่มีแต่ผู้ชายที่ออกมานั่งชิล ชิล จิบน้ำชาสะระแหน่ กันเต็มลาน    คุณอาลีให้เวลาเรา 1.30 ชั่วโมง ทุกคนกลับมาที่รถโคช หลังจากถ่ายรูปอย่างนำใจ ออกเดินทางต่อไปยัง เมือง ที่รอคอย FES

 

วันที่ 4 วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2556 ยามที่หลงไหลเมือง เฟซ เป็นการท่องเที่ยวชม เมืองเฟซ (Fes) เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค เริ่มด้วยจุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน ต่อด้วยชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟซ (TheRoyaPalace)ที่มีทหารยามยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างสง่างามประตูทางเข้าพระราชวัง เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่งแต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา (ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก จากนั้นเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเมืองเฟซ ผ่านประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี 1913 ที่ใช้โมเสคสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาล เวลาย้อนสู่อดีตนำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้างปลาอาหารและผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงาม ประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ แกะสลัก สด ๆ ให้นักท่องเที่ยวชม แล้วอดที่จะซื้อมาประดับบ้าน เป็นที่ระลึก ไม่ได้ ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักรสาน ขายม่าน แขวนพิงกำแพง สีสันสวยงาม ทำให้ถ่ายรูปออกมาสวยมาก น้องนัท ถึงกับซื้อมาทำม่านที่คอนโดใหม่ทีเดียว งานแกะสลักไม้และย่านเครื่องเทศ(SoukElAttarine)ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูปรส และกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการ จัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลัก ไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจน ถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น แวะชมสุสานของมูเลไอดริสที่ 2 (Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ รถโคชเดินทางผ่านสองข้างทางระหว่างเมืองเมคเนส ไปเฟส ช่างสวยงาม เรานั่งเพลินประมาณ 50 นาที ก็มาถึงเมืองเฟส เราพักท่โรงแรมใกล้สถานีรถไฟ แห่งเฟส ชื่อโรงแรม ibis Moussafir fes คืนนี้เรางดทำอาหาร 1 คืน เราไปชิมอาหารพื้นเมืองกันใกล้ ๆ โรงแรมที่พัก เป็นร้านที่คนโรงแรมแนะนำ ชื่อร้าน.......จำชื่อไม่ได้ เป็นตึกแถวเก่า 1 คูหา ..ฉลองวันเกิด 8 ตุลาคม 2556 ให้พี่ฉิก ช่างภาพประจำทริปของเรา HAPPY BIRTHDAY ไฮต์ไลท์ที่ทุกคนรอคอย บรรยากาศเมืองอาหรับราตรีปี 2012 ใน “เฟส เอล บาลี” (FES EL BALI)
บ่อฟอกหนังแบบโบราณ ด้วยมูลนกพิราบ  
   เดินในซุค หรือตลาด   ตามไกด์ให้ติดไม่งั้นหลงแน่
  ลูกกระบองเพชรหวานชื่นใจ
           แฮปปี้เบริดเดย์ พี่ฉิก 
             อินทผาลัม 

FES เมืองที่ได้ชื่อว่าตรอก ซอกซอย ถนนหนทาง เยอะเป็นหมื่นซอย!! ชวนให้หลงใหลพอๆกับชวนให้หลงทาง ที่นี่..ในเมดิน่าของเมืองเฟส อดีตเมืองหลวงที่มีมนต์เสน่ห์ ให้ฉันอยากตามาเห็นกับตา  ภาพหลุมสีอันฉูดฉาดของ บ่อฟอกหนังโบราณอายุหลายศตวรรษ ที่ยังคงอนุรักษ์วิถีภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เป็นแหล่งศึกษามรดกอันทรงคุณค่าน่าภาคภูมิใจ ของชาวเฟส การใช้มูลนกพิราบในกระบวนการฟอก ช่างรุนแรงติดจมูก แต่การเอาชนะกลิ่นนี้ ใช้ธรรมชาติ ใบสะระแหน่ นี่แหละ ปัดๆ ป้าย ๆ แถวจมูก ก็ช่วยเราได้มากจริงๆชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ คุณอาลี ให้เราไปถ่ายรูปโรงฟอกโบราณ โดยถ่ายจากมุมที่เจ้าของร้านแจ้งให้เราหันไปดูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ เอกลักษณ์ แห่งการมาเยือนเมืองนี้ ..โรงฟอกหนังแห่ง เฟส แล้วคุณอาลี พาเราไปที่ๆ รอคอย คือการเดินในเมดิน่าแห่งเฟส ผ่านชม สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) ทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของเมืองเฟส การเดินเที่ยวชมเมืองที่ต้องเดินแหวกว่ายเข้าไปในกลุ่มคนชาวพื้นเมืองช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นการเดินทางไปในตรอกซอกซอยนับร้อยนับพัน ที่มีวิถีชีวิตผู้คน ปะปนไปด้วย ม้า ลา ที่ช่วยบรรทุกสินค้า เดินด้วยกันในซอย เห็นลา ขนขยะ ถ่ายรูป ออกมาดู ภาพดูมีบรรยากาศแห่งอดีต เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง รับประทานอาหารค่ำ

     ณ กรุงราบัต เมืองหลวง
วันที่ 5 วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2554 อำลาเฟส สู่ ราบัต และคาซาบลังกา เมืองราบัต วันนี้เรานั่งรถโคช ชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโคมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956 เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม นำ ชมป้อมไอดูยะ ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่า บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น เหมือนศิลปบนกำแพง จากนั้นชมสุเหร่าหลวง และ พระราชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ ชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนสง่าเฝ้าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพ ที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือ แต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร ด้านหลังเป็นหอคอยฮัสซัน ออกเดินทางต่อ ชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง ที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต ผ่านชมเมืองมูเล ไอดริส (Moulay Idriss) (19 กิโลเมตร) เมืองโรมันโบราณเมืองหนึ่งที่เป็นเมืองศูนย์กลางศาสนา อันศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมในโมรอคโค ทุกๆปีช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศ ซาอุดิอารเบีย จากนั้นเดินทางต่อเพื่อคาซาบลังก้า
    คาซาบลังก้า (Casablanca) 
  วันนี้เที่ยวชมเมือง 'คาซาบลังก้า' หมายถึง บ้านสีขาว 'คาซา' แปลว่า บ้าน และ 'บลังกา' แปลว่า สีขาว เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า 'ราชอาณาจักรโมรอคโค' ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่า และเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้ว ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ เกือบ 5 ล้านคน ชมสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงาม ประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่ สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว. 

นอกเส้นทางที่เราเดินทาง ระหว่างเฟสมา ราบัต คุณอาลี แนะนำเมืองที่น่าท่องเที่ยว เมืองอิเฟรน (Ifrane ) บรรยากาศสวิส จากเส้นทางมาราเกช เส้นทางผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานาน สองข้างทาง เปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้วเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา เข้าสู่เมืองอิเฟรน (Ifrane) (102 กิโลเมตร) อิเฟรน ห่างจากเฟซ ลงทางใต้ประมาณ 60 กม. ที่ความสูงประมาณ 1,650 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่พักตากอากาศ ซึ่งในอดีตที่ฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้ในช่วง ค.ศ. 1930 บางครั้งเรียกเมืองแห่งนี้ว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้บานและทะเลสาบสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน จากนั้นเดินทางข้าม Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ บางช่วงต้นไม้พุ่มเตี้ยแปลกตา สวนต้นซีดาร์ ผ่านเส้นทางความสูง 3,090 เมตร ปกคลุมด้วยหิมะ และต้นสนขนาดใหญ่ อิ่มอร่ายในโมรอคโค ต่อไปก็รายการชิมอาหารโมรอคโค พลาดไม่ได้ พร้อมเดินชมตลาด สุดยอด เหมือนย้อนยุคไปในดินแดนอาหรับราตรี มาถึงโมรอคโค ถ้าไม่ได้กินอาหารพื้นเมือง ถือว่ายังใสไม่ถึง เรามาดูวัฒนธรรมที่สวยงามของโมรอคโคกัน ถ้วยมีฝาปิด เวลาเราสั่ง Tajineเป็นแกงขลุกขลิกมีเนื้อสัตว์ต้มเปื่อยกับเครื่องเทศ และผักต่างๆ เช่นแครอท มะเขือ แตง อร่อยค่ะ และมีเครื่องเคียงมาให้ด้วย หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศหั่น โอลิฟ และขนมปังแข็งๆแผ่นใหญ่ๆ มีน้ำจิ้มให้ด้วยค่ะเป็นอาหารพื้นเมืองที่นี่ เขาจะใส่ถ้วยพร้อมฝาปิดมาให้ถ้าเราไปกินตามร้านอาหาร แต่ไม่ใช่ที่จัตุรัสฯ นะคะ จะมีภาพให้ดู ตอนไปกินร้านอาหาร ตอนต่อไปค่ะ ข้าวคูสคูส เป็นข้าวโมร็อคกัน-เลบานีส บ้างก็ว่าเป็นข้าวของชาวแอฟริกัน ... ทราบมาว่า เป็นข้าวสาลีบดค่ะ 
 ช่วงเวลา 7วัน ในโมรอคโค เราเดินทางสะดวกสบาย เป็นการชม 3 เมืองหลวง 3 Imperial City ประทับใจในการเดินทางครั้งแรกมายังดินแดนในทวีปแอฟริกา และแล้วก็มาถึงเวลาอำลาโมรอคโค เราลาจากโมรอคโค โดยการเดินทางข้ามเฟอรี่ที่เมืองแทงเจียร์ ท่าเรือทันสมัยมาก เราจองตั๋วเฟอรี่ไว้ล่วงหน้าทางออนไลน์ มาถึงท่าเรือต้องมาขึ้นตั๋วกระดาษ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ข้ามช่องแคบยิบรอลตา มาสเปน มาขึ้นที่เมืองท่าอัลจีซีราส พักโรงแรมริมท่าเรือ เพื่อเดินทางทางรถไฟไปกรานาดาต่อไป แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไป ในสเปนและโปรตุเกส ค่ะ 

 สวัสดีค่ะ Sirin Meena

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดอกไม้ผลิบานที่จอร์เจีย 9-25 มิถุนายน 2023.

Faroe island&Aurora Scandinavia &Autumn Baltic &Poland 2025

อยากขับรถเที่ยวโดโลไมท์ ทำไงดี??ตอนที่ 1